ในโลกที่เต็มไปด้วยความไม่แน่นอน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องภาษีศุลกากร สงครามการค้า หรือความขัดแย้ง การตัดสินใจลงทุนจึงเป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับนักลงทุน ด้วยอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ยังคงอยู่ในช่วง 4.25% ถึง 4.5% ทำให้สินทรัพย์เสี่ยงดูไม่น่าสนใจนัก เมื่อเทียบกับผลตอบแทนที่แน่นอนจากเงินฝากและพันธบัตร อย่างไรก็ตาม S&P 500 และ Nasdaq 100 ยังคงทำจุดสูงสุดใหม่ โดยมีการปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 5% นับตั้งแต่ต้นปี มาอยู่ที่ 6,124 จุด และ 22,118 จุดตามลำดับ แม้ว่าจังหวะการปรับตัวขึ้นดูเหมือนอาจชะลอตัวลง แต่ตลาดกระทิงยังคงมีแรงขับเคลื่อนอยู่
อย่างไรก็ตาม การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำล่าสุด เงินเฟ้อที่ยังคงไม่ลดลง และอัตราผลตอบแทนพันธบัตร T-note ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้อนาคตของตราสารทุนและสินทรัพย์เสี่ยงอื่นๆ ค่อนข้างหมิ่นเหม่ในระยะยาว ปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดทิศทางตลาดคือ นโยบายของธนาคารกลาง รวมไปถึงจำนวนครั้งและขนาดของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ตาม เฟดจะยังคงพิจารณาตัวเลขข้อมูลเศรษฐกิจมหภาคเป็นหลัก ควบคู่ไปกับปัจจัยทางการเมืองและปัจจัยอื่นๆ ในบทความนี้ เราจะมาเจาะลึกกันว่า หุ้นจะมุ่งหน้าไปในทิศทางใดในปี 2025
ภายใต้แรงกดดัน
แม้ว่าเราจะสามารถลดเงินเฟ้อที่เป็นเลขสองหลักในปี 2022 ลงมาได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนโยบายแบบเข้มงวดของเฟด และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ แต่แรงกดดันด้านราคายังคงสูงกว่าระดับเป้าหมายอย่างไม่เปลี่ยนแปลง รายงานของกระทรวงแรงงานสหรัฐฯ เมื่อวันพุธที่ผ่านมา (12/02) ระบุว่า ดัชนีราคาผู้บริโภคเพิ่มขึ้น 3% เมื่อเทียบเป็นรายปีในเดือนมกราคม ซึ่งสูงกว่าระดับ 2.9% ของเดือนก่อนหน้า และเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ระดับต่ำสุดในรอบ 3.5 ปี ที่ 2.4% ในเดือนกันยายน ซึ่งส่งผลให้เฟดตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.3% หลังการประชุมเมื่อวันที่ 28-29 มกราคม โดยเจ้าหน้าที่ของเฟดได้กล่าวว่า "พวกเขาต้องการเห็นความคืบหน้าเกี่ยวกับเงินเฟ้อก่อนตัดสินใจ" ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก
มีการคาดการณ์ว่า การประกาศขึ้นภาษีศุลกากร 25% ของดอนัลด์ ทรัมป์ สำหรับสินค้าจีนหลายประเภท รวมถึงเหล็กและอะลูมิเนียม จะมีแต่ยิ่งทำให้เงินเฟ้อแย่ลงในระยะสั้น นอกจากนี้ การเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้ผลิต 0.2% ทำให้ Raphael Bostic ประธานเฟดสาขาแอตแลนตา กล่าวว่า "ความผันผวน" ของเงินเฟ้อไม่ใช่ "เรื่องน่าแปลกใจ" ซึ่งสะท้อนถึงแนวทางการ 'รอดูสถานการณ์' ของเฟด แม้ว่าสิ่งนี้ไม่ใช่ข่าวดีสำหรับตลาดหุ้น แต่มีแนวโน้มว่า อย่างน้อยเฟดจะไม่ขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะช่วยให้ตลาดหุ้นสามารถปรับตัวขึ้นได้ในไตรมาสถัดไป
เวลาจะบอกทุกอย่าง
โลกยังคงเผชิญกับความไม่แน่นอนสูง เช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา นอกจากความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ส่งผลกระทบต่อแหล่งพลังงานราคาถูก และสร้างอุปสรรคให้กับห่วงโซ่อุปทานแล้ว ในตอนนี้ยังมีสงครามการค้าระหว่างสองมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ที่ส่งผลต่ออุตสาหกรรมโลกด้วยเช่นกัน เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา ทรัมป์ได้ประกาศขึ้นภาษี 25% สำหรับสินค้าเครื่องกลและวัตถุดิบจากจีน ซึ่งรวมถึงเหล็กและอะลูมิเนียม และ CCP ได้ตอบโต้ด้วยการขึ้นภาษี 10% และ 15% สำหรับถ่านหินและ LNG จากสหรัฐฯ ผลที่ตามมาคือ ต้นทุนการผลิตที่สูงขึ้นสำหรับผู้ผลิตในทั้งสองประเทศ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อผลประกอบการและราคาหุ้นของบริษัทขนาดใหญ่ ทั้งในสหรัฐฯ และจีน
มีความเป็นไปได้ว่า อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลที่กำลังเพิ่มขึ้น อาจปรับตัวขึ้นต่อไป เนื่องจากเฟดจำเป็นต้องชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย เพื่อควบคุมเงินเฟ้อ อัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 8 bps มาอยู่ที่ 4.556% ในสัปดาห์นี้ ในขณะที่พันธบัตรรัฐบาลอายุ 2 ปี ปรับตัวขึ้นมากกว่า 4 bps มาอยู่ที่ 4.308% ข้อมูลจาก CME Group ยังคาดการณ์ว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียงหนึ่งหรือสองครั้ง ครั้งละ 0.25 ภายในสิ้นปี 2025 และตลาดได้รับรู้แล้วว่า มีโอกาสเกือบ 98% ที่เฟดจะไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในการประชุมครั้งต่อไปในเดือนมีนาคมนี้ เมื่ออัตราดอกเบี้ยและผลตอบแทนพันธบัตรยังคงอยู่ในระดับสูง อุปสงค์สำหรับหุ้นอาจลดลง เนื่องจากสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนคงที่ดูน่าสนใจมากกว่า อย่างไรก็ตาม ทุกอย่างจะขึ้นอยู่กับผลประกอบการของบริษัท และผลลัพธ์ของสงครามการค้าที่ยังคงดำเนินอยู่
เทรด CFD หุ้น ETF และสินทรัพย์อื่นๆ ด้วย Libertex
Libertex เป็นโบรกเกอร์ CFD ผู้มากประสบการณ์ และมีความเชี่ยวชาญในสินทรัพย์มากมาย ด้วย Libertex คุณสามารถเทรด CFD หุ้น ดัชนี และ ETF ต่างๆ ไปจนถึงโลหะ พลังงาน และแม้กระทั่งคริปโตได้ Libertex ยังให้เทรดเดอร์สามารถเลือก CFD ดัชนีตัวหลัก เช่น S&P 500, Nasdaq 100 หรือ Dow Jones Industrial Average ได้อีกด้วย หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีเป็นของคุณเอง ให้ไปที่ www.libertex.org วันนี้!