ด้วยความน่าตื่นเต้นในตลาดตราสารทุนและตลาดคริปโตในช่วงนี้ จึงเป็นเรื่องง่ายที่จะมองข้ามกลุ่มสินทรัพย์ที่มีเสน่ห์น้อยกว่า เช่น สกุลเงินแบบดั้งเดิม ถึงแม้ว่าตลาดฟอเร็กซ์มีลักษณะการเคลื่อนตัวที่ช้ากว่า แต่ก็ยังคงเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด และมีสภาพคล่องมากที่สุดในโลก โดยมีมูลค่าการซื้อขายสูงถึง 7.5 ล้านล้านดอลลาร์ในแต่ละวัน และถึงแม้ว่าการเคลื่อนตัวโดยทั่วไปจะไม่มาก แต่ในเหตุการณ์สำคัญ เรายังคงเห็นการเปลี่ยนมือของปริมาณเงินจำนวนมาก เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีการใช้เลเวอเรจสูง ด้วยการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญ ของทิศทางนโยบายการเงิน จากธนาคารกลางชั้นนำของโลกอย่าง ธนาคารกลางสหรัฐฯ ซึ่งคาดว่า จะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ทั่วทั้งตลาดสกุลเงินจึงมีแนวโน้มอย่างยิ่ง ที่จะเกิดคลื่นระลอกสำคัญ ในขณะที่ประธานเฟด นายเจอโรม พาวเวลล์ กำลังมุ่งหน้าไปยังวอชิงตันในวันอังคารนี้ (09/07) เพื่อขึ้นแถลงประจำปีต่อสภาคองเกรส นักลงทุนจำนวนมากต่างจับตาดูอย่างใกล้ชิด ถึงสัญญาณว่า จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเมื่อใด
ในขณะเดียวกัน ความวุ่นวายทางการเมืองในยุโรป ท่ามกลางความไม่แน่นอนทางภูมิรัฐศาสตร์ทั่วทั้งทวีปยุโรป ได้ทำให้เกิดความท้าทายครั้งใหม่ต่อสกุลเงินยูโร ที่กำลังเผชิญกับความท้าทายอยู่แล้ว เนื่องจากสกุลเงินเยนญี่ปุ่นปรับตัวสูงขึ้นเรื่อยๆ ถึงแม้ว่า BoJ จะพยายามอย่างสุดความสามารถ ในการสร้างศรัทธาแล้วก็ตาม นโยบายผ่อนคลายใหม่ของเฟด จะช่วยเปลี่ยนเกมให้กับสกุลเงินตัวหลักเหล่านี้หรือไม่? และอะไรคือปัจจัยสำคัญอื่นๆ ที่เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดฟอเร็กซ์ทั่วโลก ในช่วงที่เหลือของปี 2024? ในบทความนี้ เราจะมาพิจารณาว่า สกุลเงินตัวหลักทั้งสามนี้ จะมุ่งหน้าไปที่ใดในระยะกลาง และเพราะเหตุใด
ขอบคุณเฟด
ตามที่เราได้กล่าวไปก่อนหน้านี้ หลายคนกำลังคาดหวังว่า จะเห็นจุดเปลี่ยนของนโยบายจากเฟด เป็นที่ทราบกันดีว่า การที่สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น เมื่อเทียบกับสกุลเงินตัวหลักของโลก หลังการระบาดของโควิด มีสาเหตุหลักมาจากความแตกต่างของนโยบายการเงินระหว่างสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก เฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วและรุนแรง ในช่วงที่อัตราเงินเฟ้อพุ่งสูงขึ้นระหว่างปี 2021-2023 ซึ่งเป็นการเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย จากเกือบศูนย์เป็นสูงกว่า 5% ภายในระยะเวลาเพียง 12 เดือน ในขณะเดียวกัน ECB, BoE และ BoJ มีการตอบสนองที่ช้ากว่ามาก โดย BoJ ไม่สามารถปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยได้เลย จนกระทั่งถึงปลายเดือนพฤษภาคมของปีนี้ เหตุการณ์นี้ช่วยทำให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และเรายังได้เห็นค่าเงินที่เท่ากันของ USDEUR เป็นระยะเวลาสั้นๆ อีกด้วย ตามที่นายเจอโรม พาวเวลล์ ได้แถลงต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ สหรัฐฯ “ไม่ได้มีเศรษฐกิจที่ร้อนแรงเกินไปอีกแล้ว” และเหตุผลเรื่องการปรับลดอัตราดอกเบี้ยเริ่มมีน้ำหนักมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อเป็นแนวทางในการเปลี่ยนจุดโฟกัส จากภาวะเงินเฟ้อเพียงอย่างเดียว และการเผชิญกับ “ความเสี่ยงสองด้าน” ที่กำลังคุกคามเศรษฐกิจสหรัฐฯ และเนื่องจากตลาดแรงงานกำลังเย็นลง จนถึงระดับก่อนการระบาดของโควิด การอัดฉีดเม็ดเงินอาจเป็นสิ่งที่เศรษฐกิจต้องการ ในการเร่งเพิ่มผลผลิต นอกจากนี้ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งก็คือ การนำเข้าของสหรัฐฯ จะดูน่าสนใจสำหรับยุโรป และประเทศอื่นๆ มากยิ่งขึ้น ถึงแม้ว่าจะมีมุมมองเชิงบวก แต่พาวเวลล์ก็ปฏิเสธที่จะกำหนดระยะเวลาที่แน่นอน ในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง ผู้คนบางส่วนให้ความเห็นว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยอาจเกิดขึ้น หลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน
การออกห่างจากสกุลเงินแบบดั้งเดิม
ปัจจัยสำคัญอีกอย่างหนึ่ง ที่ใช้ในการวิเคราะห์สกุลเงินโดยรวมคือ ความไม่เป็นที่นิยมของสกุลเงินแบบดั้งเดิมโดยทั่วไป USD ยังคงได้รับการปกป้องบ้างจากปรากฏการณ์นี้ ในฐานะสกุลเงินสำรองของโลก แต่เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น เช่น การที่ซาอุดีอาระเบียปฏิเสธเปโตรดอลลาร์ และการสูญเสียความเชื่อมั่น จากการที่วอชิงตันได้นำสกุลเงินสหรัฐฯ มาใช้เป็นอาวุธ อาจส่งผลกระทบต่อสกุลเงินดอลลาร์ในระยะยาว อย่างไรก็ตาม ความสนใจสกุลเงินดัง เช่น ยูโรและเยน ในฐานะสินทรัพย์สะสมมูลค่า/สินทรัพย์ที่มีโอกาสมีมูลค่าเพิ่มขึ้น กำลังลดลงอย่างรวดเร็ว เงินเฟ้อที่พุ่งทะยานขึ้นในช่วงปี 2021-2023 แสดงให้หลายคนเห็นว่า มูลค่าเงินของพวกเขาไม่คงที่ เนื่องจากราคาสิ่งของจำเป็นในครัวเรือนจำนวนมาก ได้เพิ่มขึ้นถึงเกือบ 50% ในช่วงเวลาเพียงสั้นๆ ผู้ที่ถือเงินยูโรได้รับผลกระทบอย่างหนักเป็นพิเศษ เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินนี้ เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในญี่ปุ่น ผลกระทบนี้ยิ่งแย่ลงไปอีก ถึงแม้ว่าจะเป็นเพราะเหตุผลอื่นก็ตาม ถึงแม้ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจยังคงอยู่ในระดับปกติ เนื่องจากปัญหาภาวะเงินฝืดที่มีมาอย่างยาวนานของโตเกียว ค่าเงินเยนก็สูญเสียมูลค่าไปถึง 30% เมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ ในช่วงเวลานี้ เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์ทั้งสองนี้คือ นโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายมากเกินไป ตัวอย่างเช่น BoJ พึ่งมีอัตราดอกเบี้ยเป็นบวก ในไตรมาส 2 ของปีนี้ ในขณะที่ ECB มีอัตราดอกเบี้ยตามหลังเฟด 1% อย่างต่อเนื่อง ตลอดช่วงวิกฤตเงินเฟ้อ ในขณะที่ความไม่แน่นอนภายในประเทศ และทางภูมิรัฐศาสตร์กำลังเพิ่มมากขึ้น นักลงทุนพยายามหลีกเลี่ยงการใช้สกุลเงินเป็นตัวสะสมมูลค่า และหันไปหาทองคำมากขึ้นเรื่อยๆ โดยใช้ USD หรือยูโรเป็นสื่อกลางในการซื้อขายบ่อยยิ่งขึ้น ซึ่งนี่เป็นแนวโน้มที่จะเร่งตัวขึ้น ตามนโยบายทางการเงินที่ผ่อนคลายลงทั่วโลก
เทรดสกุลเงินและ CFD ตัวอื่นๆ ด้วย Libertex
Libertex เป็นโบรกเกอร์ CFD ที่ได้รับรางวัลมากมาย และเป็นตัวเชื่อมโยงเทรดเดอร์และนักลงทุนทั่วไป เข้ากับตลาดการเงินระดับโลก ที่ Libertex คุณสามารถเทรด CFD ของ EURUSD, AUDUSD, GBPUSD, และ USDJPY รวมถึงดัชนี US Dollar ได้ หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีของคุณเอง ให้ไปที่ www.libertex.org/signup วันนี้!