Skip to main content
Trump tariffs threaten Chinese and Indian trade

ภาษีศุลกากรของทรัมป์ได้คุกคามการค้าของจีนและอินเดีย

ศ., 01/31/2025 - 14:19

จากความปั่นป่วนที่เกิดขึ้นในช่วงพิธีสาบานตนของดอนัลด์ ทรัมป์ และคำขู่ล่าสุดของเขาต่อประเทศเพื่อนบ้าน อย่างแคนาดาและเม็กซิโก รวมถึงหลายประเทศในแถบลาตินอเมริกา หรือแม้แต่เกาะกรีนแลนด์ที่มีประชากรเพียง 50,000 คน ดูเหมือนว่า มหาอำนาจอย่างจีนและอินเดีย อาจรอดพ้นจากความไม่พอใจของประธานาธิบดีคนใหม่คนนี้ไปได้ อย่างไรก็ตาม ความหวังใดๆ ที่สองมหาอำนาจใน BRICS อาจมีอยู่ ก็พังทลายลงอย่างรวดเร็วในสัปดาห์นี้ เมื่อทรัมป์ประกาศว่า จะกำหนดภาษีศุลกากรที่เข้มงวดต่อประเทศเหล่านี้ และประเทศอื่นๆ ที่ "เป็นอันตราย" ต่อเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในขณะที่ชาวจีนกำลังเริ่มเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีน รัฐบาลปักกิ่งอาจต้องเตรียมตัวรับแรงกดดัน เมื่อกลับมาทำงานในสัปดาห์หน้า ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจอินเดียที่กำลังซบเซา อาจได้รับผลกระทบอย่างหนัก จากนโยบาย America First ของทรัมป์ ในช่วงเวลาที่อินเดียหวังจะพลิกฟื้นเศรษฐกิจของตนเอง

บรรดาหุ้นที่มีมูลค่าตลาดใหญ่ที่สุดของจีน ต่างปรับตัวขึ้นเฉลี่ยมากกว่า 15% ในเดือนแรกของปี 2025 เนื่องจากเม็ดเงินทั้งในและต่างประเทศได้ไหลเข้าสู่ตลาด หลังจากที่มีการเติบโตอย่างมั่นคงมาหลายปี ดัชนีหุ้นอินเดียได้ปรับตัวลดลงในช่วงไตรมาสที่ 3-4 ของปี 2024 และดูเหมือนว่า จะทรงตัวในไตรมาสแรกของปี 2025 การประเมินมูลค่าหุ้นในอินเดียอยู่ในระดับสูง และแนวโน้มการเติบโตก็แข็งแกร่งเช่นกัน ในขณะที่ในประเทศจีน หุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่กลับมีอัตราส่วน P/E ที่ต่ำอย่างไม่น่าเชื่อ คำถามสำคัญคือ มาตรการภาษีจะรุนแรงเพียงใด และอุตสาหกรรมใดจะได้รับผลกระทบมากที่สุด? ในบทความนี้ เราจะมองไปที่ปัจจัยสำคัญ ที่อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเอเชีย และวิเคราะห์ว่า ตลาดเหล่านี้จะตอบสนองต่อปัจจัยเหล่านี้ และภาษีศุลกากรของทรัมป์อย่างไร

มากเพียงใด?!

ทรัมป์ยังคงคลุมเครือเกี่ยวกับขอบเขตของภาษีศุลกากรที่อาจกำหนดกับจีนและอินเดีย ประธานาธิบดีสหรัฐฯ มีการกล่าวถึงตัวเลขตั้งแต่ 10% 25% 60% ไปจนถึง 100% ในหลายครั้ง ในขณะนี้มีการคาดว่า ตั้งแต่วันเสาร์ (01/02) เป็นต้นไป จะมีการกำหนดภาษีศุลกากรไว้ที่ 10% อย่างไรก็ตาม จากสไตล์ของทรัมป์ สิ่งนี้อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้น โชคดีที่กลุ่มประเทศ BRICS มีความพร้อมสำหรับสงครามการค้า มากกว่าที่เคยเป็นในสมัยแรกของทรัมป์ หากกรณี DeepSeek ที่เกิดขึ้นเร็วๆ นี้ได้พิสูจน์อะไรบางอย่าง นั่นก็คือ จีนสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ได้จากทรัพยากรที่จำกัด มากกว่าที่เคยมีการคาดการณ์ไว้ แพลตฟอร์ม AI ของจีนสามารถใช้ทรัพยากรหน่วยความจำได้อย่างมีประสิทธิภาพมากกว่า จึงสามารถเอาชนะได้ทั้ง OpenAI และ ChatGPT แม้จะใช้ชิป Nvidia A100 รุ่นเก่า ในช่วงก่อนที่ถูกแบนในการส่งออก

แน่นอนว่า การค้ากับสหรัฐฯ ที่ลดลงจะทำให้จีนสูญเสียรายได้จากการส่งออกจำนวนมาก แต่ในตอนนี้ดูเหมือนว่า จีนไม่ได้พึ่งพาเทคโนโลยีของสหรัฐฯ อย่างที่เคยคิด อินเดียเองก็ได้พัฒนาเครือข่ายการค้าระหว่างประเทศ กับประเทศต่างๆ ทั่วโลก เพื่อให้พึ่งพาสหรัฐฯ น้อยลง ผลกระทบของภาษีศุลกากรอาจไม่รุนแรงเท่ากับในอดีต เนื่องจากโครงสร้างเศรษฐกิจของทั้งสองประเทศ กำลังเปลี่ยนไปสู่ภาคบริการและเทคโนโลยี และมีการลดการพึ่งพาวัตถุดิบและสินค้าอุตสาหกรรม แน่นอนว่า หากมีการกำหนดอัตราภาษีสูงถึง 30% หรือมากกว่านั้น ก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นของทั้งสองประเทศในระยะสั้น แต่หากดูจากกรณีของลาตินอเมริกาล่าสุด ผลกระทบนี้อาจเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆ

มูลค่าน่าสนใจ

แม้ว่าหุ้นจีนได้ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงเดือนที่ผ่านมา แต่หากเปรียบเทียบกับหุ้นสหรัฐฯ แล้ว หุ้นจีนยังคงอ่อนแอ นับตั้งแต่ช่วงการระบาดของโควิด ก่อนหน้านั้น หุ้นจีนต้องเผชิญกับคำสั่งแบน ADR ของทรัมป์ และการตรวจสอบอย่างเข้มงวดภายในประเทศโดย CCP ส่งผลให้ Alibaba, Baidu และ Tencent ต่างร่วงลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบหลายปีที่ HK$ 88.30, HK$ 87.80 และ HK$ 401.20 ตามลำดับ โดยมีอัตราส่วน P/E ที่ 18.9, 11.2 และ 21.1 ซึ่งถือว่าเป็นมูลค่าที่ต่ำผิดปกติ สำหรับบริษัทเทคโนโลยีชั้นนำ ที่ถูกขนานนามว่าเป็น Amazon, Google และ Apple เวอร์ชันจีน ในขณะนี้ เมื่อสถานการณ์ในฮ่องกงเริ่มมีเสถียรภาพ และหุ้นยักษ์ใหญ่เหล่านี้ต่างเป็นบริษัทที่จดทะเบียนในดัชนีฮั่งเส็ง จึงไม่มีอุปสรรคใดๆ ที่จะขัดขวางเม็ดเงินจากภายนอก ในการเข้าซื้อหุ้นในราคาที่น่าดึงดูดนี้

ทางการจีนเตรียมสั่งให้กองทุนประกันของรัฐ เพิ่มการถือครองหุ้น A-shares ในประเทศ เพื่อกระตุ้นตลาดหุ้นที่ซบเซา นอกจากนี้ ก็ยังได้ออกมาตรการเสริมสร้างความเชื่อมั่นของนักลงทุน รวมถึงโครงการสวอปและสินเชื่อเพื่อการซื้อหุ้น ที่มีมูลค่ารวมทั้งสิ้น 8 พันล้านหยวน หุ้นอินเดียได้เดินทางไปในทิศทางที่แตกต่างจากนี้เล็กน้อย แต่ยังคงเป็นตัวเลือกการลงทุนที่คุ้มค่าที่ระดับราคาปัจจุบัน บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยีอย่าง Wipro และ Infosys มีอัตราส่วน P/E ต่ำกว่า 30 และยังไม่ได้กลับไปที่จุดสูงสุดที่ทำไว้ในปี 2022 ที่สำคัญคือ ทั้งสองบริษัทยังมีการจ่ายเงินปันผลมากกว่า 2% และได้รับผลจากมาตรการภาษีศุลกากรแบบเดิมค่อนข้างน้อย แม้ว่าจะมีการกำหนดภาษีศุลกากรที่เข้มงวดขึ้น แต่ยังถือว่าทั้งจีนและอินเดียดูน่าสนใจ และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ก็จะช่วยหนุนอุปสงค์สำหรับทั้งตลาดภายในและต่างประเทศ

เทรด CFD ของจีนและอื่นๆ ด้วย Libertex

Libertex มีผลิตภัณฑ์ CFD ที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึงดัชนีที่มุ่งเน้นไปที่จีนอย่าง China A50 Index (XU) และ Hang Seng Index (HIS) รวมถึงบริษัทยักษ์ใหญ่ในเอเชีย เช่น Tencent, Baidu และ Alibaba ดูข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการของเราได้ที่ www.libertex.org วันนี้!

สัมผัสกับความน่าตื่นเต้นของการเทรด!

ลงทะเบียนเปิดบัญชีเดโมกับ Libertex และมาเรียนรู้วิธีการเทรด