ในขณะที่ชาวอเมริกันเตรียมไปลงคะแนนในสัปดาห์หน้า เทรดเดอร์และนักลงทุนต่างสงสัยว่า ผลการเลือกตั้งจะส่งผลอย่างไรต่อตลาดการเงิน จากการที่ผู้สมัครมีนโยบายต่างกันอย่างสุดขั้ว ทั้งในด้านนโยบายสังคมและต่างประเทศ รวมถึงจุดยืนในเรื่องการกำกับดูแล ความไม่แน่นอนจึงเพิ่มขึ้น ในส่วนของสกุลเงินดิจิทัล ความแตกต่างระหว่างแฮริสและทรัมป์ ได้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวาง และการแบ่งแยกนั้นลงลึกยิ่งกว่าเพียงแค่สินทรัพย์ดิจิทัลมาก หลังจากที่หุ้นมีแนวโน้มดีเกินคาด ซึ่งทำให้ S&P 500, Nasdaq 100 และ Dow Jones พุ่งแตะระดับสูงสุดใหม่ แม้จะอยู่ในภาวะเงินเฟ้อที่เป็นเลขสองหลัก อัตราดอกเบี้ยที่สูงที่สุดในรอบหลายปี และความไม่มั่นคงทางภูมิรัฐศาสตร์ ตลาดกำลังมองไปถึงวันที่ 5 พฤศจิกายน ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนของตลาด ขึ้นอยู่กับว่าใครจะได้ครองทำเนียบขาว
ทรัมป์จากพรรคริพับลิกันเป็นผู้สนับสนุนการค้าแบบทุนนิยมเสรีคลาสสิก ในขณะที่พรรคเดโมแครตสนับสนุนการกำกับดูแลและการเก็บภาษีที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม จากการที่กำลังจะมีการประกาศผลประกอบการของบริษัท รวมถึงการประชุมสำคัญของเฟดในวันที่ 6-7 พฤศจิกายน — ยังมีปัจจัยสำคัญอื่นๆ อีกมาก ที่น่าจะส่งผลกระทบต่อหุ้นในช่วงที่เหลือของปี 2024 บทความนี้ จะกล่าวถึงปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญเหล่านี้ และประเมินว่า ชัยชนะของผู้สมัครแต่ละคนอาจส่งผลอย่างไร ต่อดัชนีสำคัญของสหรัฐฯ
บทพิสูจน์อยู่ที่ผลประกอบการ
ในปีที่มีการเลือกตั้ง ตลาดมักให้ความสำคัญกับผลการเลือกตั้งมากเกินไป ความจริงก็คือ อย่างน้อยสำหรับหุ้น ปัจจัยที่มีผลทันที น่าจะเป็นตัวกำหนดผลการดำเนินงานได้มากกว่า จากการที่กำลังจะมีการประกาศผลประกอบการของบริษัท ราคาหุ้นอาจจะเปลี่ยนแปลงไปตามผลประกอบการจริงของบริษัท วันที่ 29 ตุลาคมที่ผ่านมา บริษัท Alphabet (GOOGL) ได้เริ่มต้นฤดูกาลประกาศผลประกอบการอย่างยอดเยี่ยม โดยรายได้จากธุรกิจคลาวด์ของบริษัทแม่ของ Google สูงกว่าที่คาดการณ์ ทำให้ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 3% ในวันเดียว
Meta และ Microsoft รายงานตัวเลขในวันที่ 30 ตุลาคม และสามารถทำได้เกินการคาดการณ์เช่นกัน ในขณะที่ Apple และ Amazon มีกำหนดการรายงานในวันที่ 31 ตุลาคม เนื่องจาก S&P 500 และ Nasdaq 100 มีสัดส่วนของบริษัทเทคโนโลยีค่อนข้างสูง ฤดูกาลประกาศผลประกอบการที่ดีสำหรับหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ น่าจะส่งผลทำให้ดัชนีสำคัญของสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นด้วย โชคดีที่นักลงทุนส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ถือหุ้นในดัชนีสำคัญทั้งสองนี้ รวมถึงหุ้นเทคโนโลยีรายตัวหรือ ETF ที่เน้นเทคโนโลยี ทำให้ไม่จำเป็นต้องปรับสมดุลพอร์ตโฟลิโอมากนัก เทรดเดอร์บางส่วนคาดหวังการเติบโตของภาคส่วนต่างๆ ตามผลการเลือกตั้ง ดังเช่นที่เราได้เห็นเกิดขึ้นกับเทคโนโลยีสีเขียวและพลังงานหมุนเวียน ก่อนชัยชนะของไบเดนในปี 2020 อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้ได้กลายเป็นฟองสบู่ และคนจำนวนมากที่พยายามจับจังหวะตลาด ก็ได้รับบทลงโทษอย่างสาหัส ในสถานการณ์เช่นนี้ การเชื่อสัญชาตญาณ และการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญ จึงอาจเป็นสิ่งที่ดีที่สุด
นโยบายแบบผ่อนคลาย
การเลือกตั้งครั้งนี้เต็มไปด้วยความแตกแยก ความกลัว และคำพูดเกินจริง ซึ่งแต่ละฝ่ายกล่าวว่า ชัยชนะของอีกฝ่ายจะทำให้โลกสิ้นสุดลง แต่ทั้งหมดนี้อาจไม่สำคัญเลย เมื่อต้องเผชิญกับปัจจัยอื่นที่ไม่เกี่ยวข้อง: การเปลี่ยนแปลงนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ หลังจากที่เฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 50 bps ในเดือนกันยายน สิ่งต่างๆ ชี้ว่า เฟดน่าจะยังคงท่าทีผ่อนคลายอย่างน้อยไปจนถึงสิ้นปี โพลของ Reuters จากนักเศรษฐศาสตร์ 111 คน ได้คาดการณ์ว่า จะมีการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 25 bps ในการประชุม FOMC วันที่ 7 พฤศจิกายน โดยมากกว่า 90% ของพวกเขาคาดว่า จะมีการลดลงอีก 25 bps ในเดือนธันวาคม ซึ่งสอดคล้องกับคำมั่นของพาวเวลล์เมื่อต้นปีที่ผ่านมาว่า จะลดอัตราดอกเบี้ย (25 bps) 5 ครั้งภายในต้นปี 2025 และด้วยเงินเฟ้อที่ใกล้เคียงกับระดับเป้าหมาย 2% ของเฟด และตลาดแรงงานที่มีเสถียรภาพ จึงดูเหมือนไม่มีอุปสรรคใด ที่จะมาขัดขวางการลดอัตราดอกเบี้ยลง ซึ่งจะทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นก่อนสิ้นปี
เมื่อพิจารณาจากแนวโน้มการขึ้นของหุ้นในเดือนธันวาคม ไตรมาสสุดท้ายของปี 2024 อาจดูเหมือนว่า จะเป็นช่วงเวลาที่ดีสำหรับหุ้น ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายนก็ตาม แน่นอนว่า ความไม่แน่นอนในตลาดขณะนี้มีมาก แต่ประวัติศาสตร์ชี้ว่า ผลลัพธ์สุดท้ายจะทำให้เกิดเสถียรภาพ โดยไม่คำนึงว่าใครจะเป็นผู้ชนะ จริงๆ แล้ว ปีที่มีการเลือกตั้งในอดีต มีค่าเฉลี่ยการเพิ่มขึ้นของหุ้นสหรัฐอยู่ที่ 9.1% โดยไม่ขึ้นกับผลการเลือกตั้ง ซึ่งไม่น่าจะเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้
เทรดหุ้น CFD และตราสารอื่นๆ ด้วย Libertex
Libertex มีประวัติและชื่อเสียงในด้านความน่าเชื่อถือ ด้วยการเป็นโบรกเกอร์ที่เชื่อมต่อเทรดเดอร์รายย่อยเข้ากับตลาดการเงิน มาเกือบสองทศวรรษ ด้วยผลิตภัณฑ์ที่หลากหลาย Libertex ให้บริการ CFD ในหลายประเภทสินทรัพย์ ตั้งแต่ฟอเร็กซ์ สินค้าโภคภัณฑ์ และคริปโต ไปจนถึง ETF ดัชนี และหุ้นรายตัว และเนื่องจากคุณไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์ที่อ้างอิงจริงๆ การเปิดและปิดการเทรดจะทำได้อย่างรวดเร็ว ยิ่งไปกว่านั้น Libertex ยังมีการเทรดแบบใช้เลเวอเรจ รวมถึงการเปิดโพซิชันซื้อและขายกับ CFD ต่างๆ ตั้งแต่ดัชนีตัวหลัก เช่น Nasdaq 100, S&P 500 และ Dow Jones Industrial Average ไปจนถึง CFD ของหุ้นยักษ์ใหญ่ เช่น Alphabet, Microsoft และ Apple Libertex ล้วนมีอยู่ทั้งสิ้น หากต้องการดูข้อมูลเพิ่มเติม หรือสร้างบัญชีเป็นของคุณเอง ให้ไปที่ www.libertex.org/signup วันนี้!